2. แต่งตัวให้เรียบร้อยเหมาะสมกับงานเพื่อให้เกียรติผู้ฟัง
3. กิริยาท่าทางและคำพูดให้สุภาพเหมาะสมกับงาน
4. เมื่อเชิญแขกหรือเจ้าภาพขึ้นบนเวทีให้แขกหรือเจ้าภาพยืนกลางทุกคน พิธีกรเดี่ยวให้ยืนด้านซ้ายมือสุด พิธีกรคู่ให้พิธีกรหญิงยืนซ้ายสุด พิธีกรชายยืนขวาสุด
5. ห้ามยืนแทรกแถวของแขกโดยเด็ดขาด
6. พิธีกรควรปรับเปลี่ยนสคริปต์ให้สอดคล้องกับความเห็นของประธานจัดงานหรือเจ้า ภาพ ก่อนนำไปใช้
7. ก่อนที่พิธีกรจะเชิญใครขึ้นพูดควรบอกกล่าวให้เขารู้ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้เขาได้เตรียมตัว ซึ่งจะทำให้งานราบรื่น สนุก และจบแบบประทับใจ
8. เพื่อให้การแสดงบทบาทสมมุติในงานสมจริงควรให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ดูสคริปต์ก่อนนำไปปรับใช้
………………………………………………………….
เกร็ดความรู้สำหรับพิธีกร
1. คำว่าพระคุณเจ้า เป็นคำสรรพนามบุรุษที่ 2 หมายถึงภิกษุที่เคารพนับถือ
2. คำว่า อาราธนา ใช้กับอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริต เป็นต้น ซึ่งมีคำอาราธนาเป็นภาษาบาลีโดยเฉพาะอยู่แล้ว
3. การให้พระทำนั้นทำนี้ให้ใช้คำว่า นิมนต์ หรือ กราบนิมนต์
4. ไม่ควรใช้คำเฝือ (คำเฝือคือคำที่มีความหมายซ้ำกัน) เพราะทำให้ภาษาที่ใช้รกรุงรังเช่น กราบอาราธนานิมนต์ ใคร่ขอเรียนเชิญ ให้ใช้ว่า กราบนิมนต์ เรียนเชิญ
5. ไม่ควรใช้คำว่าพระเดชพระคุณเจ้า เพราะไม่มีในพจนานุกรม
6. พระเดชพระคุณให้ใช้กับพระราชาคณะชั้นเจ้าคุณขึ้นไปถึงสูงสุด เช่น พระเดชพระคุณ แล้วตามด้วยชื่อสมณศักดิ์ของท่านเช่น พระเดชพระคุณพระศรีสกลกิจ พระเดชพระคุณพระราชกวีวรญาณ พระเดชพระคุณพระธรรมคุณาภรณ์ พระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธิเมธี หรือเพิ่มคำว่าท่านเจ้าคุณด้วยก็ได้เช่น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระศรีสกลกิจ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระราชกวีวรญาณ เป็นต้น ถ้า เป็นพระราชาคณะชั้นสมเด็จให้ใช้ว่า พระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ แล้วตามด้วยชื่อสมณศํกดิ์ของท่าน เช่น พระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรานุวัตร พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฑฒาจารย์ (ใช้ว่า เจ้าพระคุณ หรือ เจ้าประคุณ ก็ได้) เป็นต้น
7. พระราชาคณะ แปลว่าพระภิกษุที่เป็นคณะของพระราชา หมายถึงพระภิกษุที่ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้มียศและตำแหน่งเพื่อช่วยเหลือ พระราชาในการปกครองประเทศ พระแต่งตั้งกันเองไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าบัญญัตไว้ว่า คนที่มาบวชเป็นพระต้องสละชนชั้นวรรณะยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งและทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด เมื่อบวชแล้วให้เคารพกันตามลำดับอาวุโส กล่าวคือผู้บวชทีหลังต้องเคารพผู้บวชก่อน ในครั้งพุทธกาลจึงไม่มีท่านพระครูหรือท่านเจ้าคุณให้ญาติโยมเรียกผิดเรียก ถูกอย่างในเมืองไทยทุกวันนี้
8. ควรใช้คำว่า พระคุณเจ้า กับพระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ต่ำกว่าพระราชาคณะ เช่นสามเณร พระภิกษุ พระครู พระครูปลัด พระครูใบฎีกา ฯลฯ
9. คำว่า พระคุณท่าน ไม่มีในพจนานุกรม เคยได้ยินพระใช้เรียกขานกันเองเท่านั้น จึงไม่ควรนำมาใช้กับพระ เพราะดูเป็นการตีตนเสมอพระอะไรประมาณนั้น
10. การใช้คำสรรพนามเรียกชื่อคนอื่นในงานต่าง ๆ ไม่ควรใช้คำว่า นาย หรือนาง แต่ควรใช้คำว่า คุณ………. คุณพ่อ… คุณแม่…คุณตา… คุณยาย….ฯลฯ เพราะสุภาพและเป็นการให้เกียรติเจ้าของชื่อมากกว่า
11. คำว่า ผ้าบังสุกุล เดิมหมายถึงผ้าที่ไม่มีเจ้าของ หรือผ้าที่เจ้าของเขาทิ้งแล้ว ประเทศอินเดียสมัย พุทธกาลผ้าทำจีวรหายากมาก เพราะชาวบ้านต้องทอผ้าใช้เองด้วยความยากลำบากจึงไม่ค่อยมีใครนำผ้ามาถวาย แต่เมื่อมีคนในครอบครัวตายพวกเขาจำต้องหาผ้าขาวผืนใหญ่มาห่อศพแล้วนำไปทิ้ง ที่ป่าช้านอกเมือง หรือนอกหมู่บ้านเพื่อให้เป็นอาหารของสุนัข อีกา อีแร้ง ฯลฯ ศพถูกสัตว์กัดกินหมดแล้วแต่ยังเหลือผ้าผืนเล็กบ้างใหญ่บ้าง(ผืนเล็กน่า จะเป็นผ้าห่อศพเด็กหรือทารก) ผ้าเหล่านี้ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของ และเป็นผ้าที่เจ้าของทิ้งแล้วตามพุทธานุญาต ผู้ประสงค์จะบวชเป็นภิกษุและภิกษุที่จีวรขาดจึงต้องไปแสวงหาผ้าเหล่านี้มา ตัดเย็บต่อกันเป็นผ้าสบง ผ้าอังสะ และผ้าประคตเอวตามรูปแบบที่กำหนดไว้ แล้วย้อมด้วยเปลือกไม้ แก่นไม้ขนุน หรือดินสีเหลืองสำหรับย้อมผ้า สมัยปัจจุบันผ้าบังสุกุลที่เจ้าภาพซื้อหานำมาถวายในงานศพประกอบด้วย ผ้าสบง 1 ผืน ผ้าอังสะ 1 ผืน เทียนและดอกไม้อย่างละคู่ และใบปวารณา 1 แผ่น เจ้าภาพต้องเตรียมผ้าบังสุกุลไว้ถวายพระสงฆ์ทุกรูปที่นิมนต์มาในงาน
12. คำ ว่า ผ้ามหาบังสุกุล มีที่มาเช่นเดียวกับผ้าบังสุกุล แต่เป็นผ้าห่อศพผืนใหญ่(น่าจะเป็นผ้าห่อศพผู้ใหญ่) สามารถนำมาตัดเย็บเป็นจีวรตามรูปแบบที่กำหนดได้ ปัจจุบันหมายถึง ผ้าบังสุกุลชุดใหญ่ ประกอบด้วย ผ้าจีวร 1 ผืน ผ้าสบง 1 ผืน และผ้าอังสะ 1 ผืน และอาจจะเพิ่ม ผ้าสังฆาฏิ 1 ผืน ประคตเอว 1 เส้น ฯลฯ เทียน 1 คู่ ดอกไม้ 1 คู่ และใบปวารณา 1 แผ่น เจ้าภาพอาจมีศรัทธาเตรียมผ้ามหาบังสุกุลถวายในงานศพชุดเดียวหรือหลายชุดก็ ได้
คำ ว่า มหา เป็นภาษาบาลีแปลว่าใหญ่ เช่น ผ้ามหากฐิน แปลว่าผ้ากฐินชุดใหญ่ ผ้ามหาบังสุกุล แปลว่าผ้าบังสุกุลชุดใหญ่ มหาเจดีย์ แปลว่าเจดีย์ใหญ่ มหาเปรียญ แปลว่าปริญญาใหญ่ มหาเศรษฐี แปลว่าเศรษฐีใหญ่ มหาโจร แปลว่าโจรใหญ่ มหาหิงส์ แปลว่าควายใหญ่ มหาสงครามเอเชียบูรพา แปลว่าสงครามเอเชียตะวันออกครั้งใหญ่
13. คำว่า ผ้าไตรบังสุกุล เป็นคำศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานของไทยบัญญัติขึ้นใช้แทนคำว่า ผ้ามหาบังสุกุล หมาย ถึงผ้านุ่งห่มชุดเดียวมีสามผืน ประกอบด้วย ผ้าจีวร 1 ผืน ผ้าสบง 1 ผืน ผ้าอังสะ 1 ผืน ดอกไม้และเทียนอย่างละคู่ ใบปวารณา 1 แผ่น เจ้าภาพอาจมีศรัทธาเตรียมผ้าไตรบังสุกุลถวายในงานศพชุดเดียวหรือหลายชุดก็ได้
พิธีกร มีคำศัพท์ให้เลือกใช้ในเรื่องนี้ถึง 2 คำ คือคำว่า ผ้ามหาบังสุกุล ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล กับคำว่า ผ้าไตรบังสุกุล ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ พิธีกรเลือกใช้ตามอัธยาศัยเทอญ
14. คำว่า ผ้าไตรเปิด ผ้าไตรเอก และ ผ้าไตรรอง น่าจะเป็นคำศัพท์ที่พิธีกรบัญญัติขึ้นใช้เอง เพราะไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎกหรือพจนานุกรม
15. คำว่า งานประชุมเพลิงสรีระสังขาร เป็นภาษาไทย +ภาษาเขมร +ภาษาบาลี แปลเป็นภาษาไทยว่างานสุมไฟซากศพ เป็นคำใหม่ที่ประดิษฐ์ขึ้นใช้เพื่อให้ใกล้เคียงกับคำว่า งานพระราชทานเพลิงศพ แต่พระที่ถึงแก่มรณภาพไม่ได้รับไฟพระราชทาน จึงประดิษฐ์คำใหม่เป็น งานประชุมเพลิง และเปลี่ยนคำว่า ศพ เป็น สรีระสังขาร เพื่อให้ดูดีมีระดับกว่า ส่วนคำว่า ฌาปนกิจศพ เป็นภาษาบาลี แปลเป็นไทยว่า การเผาศพ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งพระทั้งโยม พิธีกรควรเลือกใช้คำตามความประสงค์จำนงหมายของพระคุณเจ้านั้นเทอญ
16. คำว่า งานพระราชทานเพลิงศพ เป็นงานที่ผู้ตายได้ประกอบคุณงามความดีไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่จนเข้าเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่จะได้รับไฟพระราชทาน และได้ยื่นหนังสือกราบบังคมทูลขอรับไฟพระราชทาน และที่สำคัญต้องได้รับไฟพระราชทานมาจึงจะใช้คำว่างานพระราชทานเพลิงศพได้
{fullWidth}