7 วิธีลบไฟล์ขยะใน Windows เครื่องลื่นดังเดิมได้พื้นที่เพิ่ม

 


TIPS & TRICKS

ใช้งานโน๊ตบุ๊คหรือพีซีมานาน ๆ พื้นที่ว่างในเครื่องก็เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ บางทีก็ทำงานช้าลงเพราะไม่ได้ลบไฟล์ขยะใน Windows ทิ้งไปแล้วปล่อยสะสมเอาไว้จนกินพื้นที่ในเครื่องไปจนเกือบหมด ซึ่งหลายคนก็เลือกวิธีง่าย ๆ อย่างการลง Windows ใหม่อีกรอบ แต่ก็มีข้อเสียคือต้องมาโอนไฟล์เข้าออกเครื่องและมานั่งลงโปรแกรมใหม่ให้เสียเวลาทำงานไปฟรี ๆ ซึ่งถ้าไม่จำเป็นจริงก็อยากแนะนำให้ทำเป็นวิธีสุดท้าย จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเซ็ตอัพเครื่องใหม่ตั้งแต่ต้น

สำหรับคนที่ไม่เคยทำหรือล้างไฟล์ขยะใน Windows มาก่อนก็ไม่ต้องกังวลเพราะวิธีการใน Windows 10 จัดว่าทำได้ง่ายขึ้นมากและบางฟังก์ชั่นยังสามารถตั้งค่าให้ทำงานได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย ช่วยให้เราไม่ต้องแวะเวียนมาจัดการบ่อย ๆ ช่วยให้เราใช้พีซีทำงานได้ต่อเนื่องขึ้นมาก ๆ


ลบไฟล์ขยะใน Windows
ใช้ Windows มาเป็นปี ๆ ไม่รู้ไฟล์ขยะซ่อนเยอะแค่ไหน ถ้ามีเวลาว่าง ๆ ก็ล้างหน่อยเนอะ

ไฟล์ขยะใน Windows มาจากไหน?

laptop 3087585 1920

ไฟล์ขยะใน Windows เกิดขึ้นได้เสมอทุกเวลาที่เราใช้คอมพิวเตอร์ของเราทำงาน ไม่ว่าจะติดตั้งโปรแกรม, เข้าอินเตอร์เน็ต, โหลดไฟล์ต่าง ๆ จากอินเตอร์เน็ตเข้ามาในเครื่อง, ทิ้งไฟล์ไม่ใช้แล้วลง Recycle Bin แล้วไม่ได้ลบทิ้ง ฯลฯ ก็สร้างไฟล์ขยะขึ้นมาในเครื่องของเราได้เสมอ

นอกจากนี้ตอนเราเรียกใช้งานบางโปรแกรมขึ้นมา โปรแกรมนั้น ๆ ก็จะสร้าง Temporary file ขึ้นมาเพื่อช่วยในการทำงานและถ้าเราเรียกใช้โปรแกรมนั้นบ่อย ๆ Temporary file ก็จะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะว่า Windows 10 จะไม่ได้ลบไฟล์นั้นทิ้งให้โดยอัตโนมัติ และเราต้องมาจัดการลบไฟล์เหล่านั้นด้วยตัวเอง โดยไฟล์ขยะใน Windows 10 ที่เราลบไปได้เลยและไม่มีปัญหากับเครื่องเราอย่างแน่นอนได้แก่

  1. Temporary File ที่เว็บบราวเซอร์สร้างขึ้นมา – เวลาเราเข้าเว็บไซต์ไหนบ่อย ๆ หรือโหลดไฟล์ต่าง ๆ เข้ามาในเครื่อง Temporary File ใน Windows 10 ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเปลืองพื้นที่ในเครื่องมาก ๆ แต่ในบราวเซอร์แต่ละตัวก็มีฟีเจอร์ให้ลบไฟล์ประเภทนี้ทิ้งได้
  2. โปรแกรมไฟล์ที่โหลดมาและติดตั้งในเครื่องแล้ว – ไฟล์โปรแกรมต่าง ๆ ที่โหลดมาติดตั้งไว้ในเครื่องเสร็จแล้ว บางคนก็ปล่อยทิ้งเอาไว้เพราะลืมว่ามันเคยอยู่ตรงนั้นหรือบางคนก็เก็บเอาไว้เผื่อติดตั้งในภายหลัง ซึ่งถ้าไฟล์โปรแกรมนั้นสำคัญก็แนะนำให้โหลดไปเก็บใน Exterhal Harddisk หรือแฟลชไดรฟ์ก็จะช่วยประหยัดพื้นที่ให้เราอีกมาก
  3. หน้าเว็บไซต์ที่เซฟไว้อ่านออฟไลน์ – หน้าเว็บบางเว็บ เช่น บทความหรือข่าวสำคัญต่าง ๆ ก็เป็นไฟล์ขยะอีกประเภทที่เราสามารถลบมันทิ้งไปได้เลย แม้หน้าหนึ่งจะมีขนาดเล็กเพียงหลัก KB แต่ถ้าใครเป็นสายชอบโหลดมาทิ้งค้างไว้เยอะ ๆ ก็อาจจะใหญ่ขึ้นเป็นหลาย MB ก็ได้เช่นกัน ดังนั้นถ้ามีค้างในเครื่องเยอะ ๆ ก็เปลืองพื้นที่โดยไม่จำเป็นเช่นกัน
  4. Recycle Bin – เหล่าไฟล์ที่เราลบทิ้งไปแล้วก็จะโดน Windows ย้ายไปทิ้งไว้ใน Recycle Bin เป็นจุดสุดท้าย และถ้าเราสั่ง “Empty Recycle Bin” เมื่อไหร่ไฟล์เหล่านั้นก็จะหายไปและต้องเสียเวลากู้ไฟล์กลับมา ดังนั้นถ้าเป็นสายลบไฟล์แต่ลืมล้างถังขยะทิ้งก็จะเสียพื้นที่ในเครื่องไปโดยปริยายเช่นกัน
  5. Temporary files – เป็นไฟล์ที่โปรแกรมหรือ Windows สร้างขึ้นมาใช้ทำงานหนึ่ง ๆ ชั่วคราวและระบบไม่ได้ลบทิ้งให้ 
  6. Thumbnails – ไฟล์ประเภทรูปภาพที่ Windows สร้างขึ้นมาเพื่อให้แสดงภาพในเครื่องได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนนี้ก็เป็นไฟล์ขยะที่ลบทิ้งได้เช่นกัน
  7. โฟลเดอร์ Windows.old – เป็นไฟล์และโปรแกรมค้างจาก Windows ในไดรฟ์เดิม จะเจอในไดรฟ์ C:\ ของเราตอนเราล้างเครื่องลง Windows ใหม่ทับอันเก่าในไดรฟ์เดิม ถ้ามีไฟล์สำคัญที่เก็บเอาไว้ก็สามารถเข้าไปกู้ออกมาได้แล้วค่อยลบทิ้ง

windows old
โฟลเดอร์นี้ถ้าไม่มีไฟล์สำคัญค้างอยู่ก่อนลงวินโดว์ใหม่ก็ลบโลด

7 วิธีลบไฟล์ขยะใน Windows เพิ่มพื้นที่ให้เครื่องของเรา

วิธีลบไฟล์ขยะใน Windows 10 นอกจากไฟล์ขยะที่ Windows มักสร้างเป็นประจำแล้ว ยังมีส่วนเสริมและฟีเจอร์สำหรับแท็บเล็ต Windows ติดมาด้วย เนื่องจาก Windows 10 ถูกออกแบบมาใช้งานในโหมดแท็บเล็ตได้ด้วย ทำให้เวลาเราเอามาใช้ในพีซีก็จะมีส่วนเสริมเกินจำเป็นของแท็บเล็ตแถมมาพร้อมกัน ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้นอกจากไม่ได้ใช้ประโยชน์ยังเปลืองพื้นที่ฮาร์ดดิสก์เราแต่ก็สามารถจัดการเอาพื้นที่คืนมาได้ด้วย 7 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. ลบไฟล์ด้วย Disk cleanup ของ Windows 10
  2. ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้แล้วในเครื่องทิ้งไป
  3. เปิด Windows Defender มาสแกนไวรัสในเครื่อง
  4. ไล่ลบโฟลเดอร์ของโปรแกรมที่ถอนการติดตั้งทิ้งไปแล้ว
  5. ใช้ Storage Sense ลบไฟล์ขยะทิ้ง
  6. ลบ Temporary file ในเว็บบราวเซอร์ทิ้ง
  7. ลบไดรเวอร์ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้แล้วทิ้งไป
1. ลบไฟล์ด้วย Disk cleanup ของ Windows 10

disk clean up

วิธีลบไฟล์ขยะใน Windows อย่างแรกที่ทำได้ง่ายสุดและไม่ต้องเข้าไปยุ่งกับการตั้งค่าใด ๆ ในระบบปฏิบัติการเลยคือการเรียก Disk Cleanup ขึ้นมาแล้วให้โปรแกรมจัดการตัวเองได้เลย เพียงแค่กดปุ่ม Windows บนคีย์บอร์ดและพิมพ์ Disk Cleanup ลงไปแล้วกด Enter เพื่อเปิดฟังก์ชั่นนี้ขึ้นมาได้เลย

disk clean

โปรแกรมจะให้เราเลือกว่าจะให้สแกนเพื่อล้างไฟล์ขยะในไดรฟ์ไหน ถ้าในพีซีของเรามีมากกว่า 1 ไดรฟ์จะต้องเลือกส่วนนี้ด้วย และแนะนำให้เลือก C:\ ขึ้นมาล้างไฟล์ขยะทิ้งก่อนเป็นไดรฟ์แรก เพราะป็นไดรฟ์ที่ลง Windows 10 เอาไว้และจะมีไฟล์ขยะเยอะที่สุด

disk cleanup

Disk Cleanup จะคำนวนและสแกนไฟล์ขยะทั้งหมดในเครื่องแล้วแยกหมวดให้เราเลือกลบได้ตามต้องการ โดยปกติ Disk Cleanup จะตั้งให้ลบ Downloaded Program Files, Temporary Internet Files, Thumbnails เอาไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการลบไฟล์ส่วนอื่นด้วยให้เราติ๊กเลือกในช่องด้านหน้านั้นตามต้องการแล้วกด OK ให้ Disk Cleanup ลบไฟล์เหล่านั้นทิ้งไป

2. ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้แล้วในเครื่องทิ้งไป

uninstall1

โปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้งานแล้วปล่อยทิ้งค้างไว้ในเครื่องก็เหมือนไฟล์ขยะประเภทหนึ่งที่ทำให้ไดรฟ์ C:\ เต็มได้ง่าย ๆ เช่นกัน ซึ่งวิธีการที่ดีสุดคือการลบมันทิ้งไปไม่ก็ย้ายไปไว้ในไดรฟ์สำรองแทน จะได้มีพื้นที่เอาไว้ใช้ติดตั้งโปรแกรมอื่น ๆ หรือเซฟงานสำคัญ ๆ ได้มากขึ้น

ถ้าพูดถึงการลบโปรแกรมในเครื่องทิ้ง ใคร ๆ ก็จะเปิด Control Panel ขึ้นมาใช้งาน แต่สำหรับ Windows 10 จะมีฟีเจอร์ย้ายโปรแกรมที่ติดตั้งจากไดรฟ์หนึ่งไปยังอีกไดรฟ์หนึ่งโดยไม่ต้องเสียเวลามาติดตั้งใหม่เลย โดยวิธีการให้เราเปิด Settings จากนั้นคลิ๊กคำว่า Apps เพื่อเรียกดูซอฟท์แวร์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องของเรา

move programs

เมื่อเข้าส่วนของ Apps แล้ว เครื่องจะเปิดรายชื่อโปรแกรมทั้งหมดในเครื่องขึ้นมาให้เราเลือกลบทิ้ง (Uninstall) หรือย้ายที่ติดตั้ง (Move) ได้ด้วย ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลานั่งไล่ลบลงโปรแกรมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

move 2

ถ้าเราเลือก Uninstall ก็จะเหมือนกับการลบโปรแกรมด้วย Control Panel ทั้งหมด แต่ถ้าเลือก Move แล้วพีซีของเรามีฮาร์ดดิสก์มีไดรฟ์มากกว่าหนึ่งไดรฟ์ ก็สามารถเรียกใช้ฟีเจอร์นี้ได้ พอเรากด Move แล้วจะมีตัวเลือกว่าต้องการย้ายไปที่ไดรฟ์ไหนแทน เช่นในภาพมีไดรฟ์ D:\ ก็จะขึ้นมาให้เราเลือกในช่อง ถ้าเลือกไดรฟ์ที่ต้องการย้ายได้แล้วให้กด Move แล้วรอให้ระบบจัดการย้ายโปรแกรมให้เสร็จก็ใช้งานต่อได้ทันที

3. เปิด Windows Defender มาสแกนไวรัสในเครื่อง

security 1

ไฟล์ขยะใน Windows นอกจากไฟล์ที่ระบบสร้างขึ้นมาเองแล้ว บางคนที่ท่องเว็บแปลก ๆ อยู่บ่อย ๆ ก็อาจจะได้ของแถมอย่างไวรัสหรือมัลแวร์ต่าง ๆ แถมมาในเครื่องก็ได้ ซึ่งเราสามารถใช้ Windows Defender ใช้คอยไล่ลบไฟล์ขยะใน Windows ได้ด้วย โดยประสิทธิภาพของ Windows Defender เองก็ถือว่าทำงานได้ดีไม่แพ้กับโปรแกรมแอนตี้ไวรัสจากบริษัทอื่นเลย จะด้อยกว่าเพียงแค่โปรแกม Antivirus ดัง ๆ อย่าง Norton, Kaspersky, Avira เท่านั้น

ส่วนของขั้นตอนให้กดปุ่ม Windows ขึ้นมาพิมพ์คำว่า Windows Security แล้วกด Enter จากนั้นเลือกที่ Virus & threat protection จะเข้าสู่หน้าสแกนไวรัส แต่ปกติแล้วระบบจะตั้งเป็น Quick Scan ซึ่งจะสแกนไม่ทั่วถึงทั้งเครื่อง ดังนั้นให้เรากดเลือกที่ Scan options ก่อนเพื่อเปิดฟังก์ชั่นการสแกนอื่น ๆ ขึ้นมา แล้วให้เลือกที่ Full scan จากนั้นคลิ๊กคำว่า Scan now ที่อยู่ด้านล่างสุด

ระบบ Windows Defender จะเริ่มสแกนหาไฟล์แปลกปลอมในเครื่องแล้วไล่ลบให้กับเรา ซึ่งขั้นตอนนี้จะกินเวลาร่วมชั่วโมงหรือสองชั่วโมงทีเดียว ดังนั้นแนะนำให้กดตอนที่ว่างจริง ๆ เช่น สแกนทิ้งเอาไว้แล้วพักกินข้าวเที่ยงหรือกำลังจะนอนก็สแกนเครื่องทิ้งไว้แล้วกดดับหน้าจอ เป็นต้น

4. ไล่ลบโฟลเดอร์ของโปรแกรมที่ถอนการติดตั้งทิ้งไปแล้ว

old folder

หลายคนอาจจะคิดว่าลบโปรแกรมใน Control Panel หรือ Apps ทิ้งไปก็จบแล้ว ได้พื้นที่คืนแล้ว แต่จริง ๆ มันไม่จบแค่นั้นเพราะฟังก์ชั่นถอนการติดตั้งโปรแกรมไม่ได้ไปลบโฟลเดอร์ที่ติดตั้งโปรแกรมที่ตกค้างในในไดรฟ์ C:\ ออกไปให้เรานั่นเอง ดังนั้นเวลาเราลบโปรแกรมไหนทิ้งไปแล้วให้เราเปิดไดรฟ์ C:\Program Files หรือ C:\Program Files (x86) เข้ามาเปิดดูสักหน่อยว่าโปรแกรมไหนเราถอนการติดตั้งทิ้งไปแล้วยังมีโฟลเดอร์ตกค้างอยู่ ก็กด Delete หรือ Shift+Delete เพื่อลบโฟลเดอร์นั้นทิ้งไปก็เป็นอันครบจบกระบวนการลบโปรแกรมนั้นโดยสมบูรณ์

5. ใช้ Storage Sense ลบไฟล์ขยะทิ้ง

ฟีเจอร์ Storage sense เป็นอีกฟีเจอร์ลบไฟล์ขยะใน Windows 10 ที่มีประโยชน์มากเช่นกัน ซึ่งซ่อนอยู่ใน Settings > System นั่นเอง และเมื่อเราเปิดขึ้นมาแล้วให้เราคลิกที่แถบซ้ายตรงตัวเลือก Storage แล้วระบบจะมีแถบตัวเลือก “Configure Storage Sense or run it now” ขึ้นมา ให้เราเปิดการทำงานของมันที่แถบเลื่อนด้านบนก่อนแล้วคลิกเข้าไปตั้งค่าการทำงานของมันเพิ่มเติมด้วย

เมื่อเข้ามาในส่วนตั้งค่าของ Storage Sense ให้เลื่อนมาที่แถบ Temporary Files แล้วติ๊กถูกในช่อง “Delete temporary files that my apps aren’t using” เอาไว้แล้วเลื่อนมาที่บรรทัดต่อมาตรงเลข 1 คือให้ Storage Sense ลบไฟล์ที่ทิ้งไว้ใน Recycle Bin ภายในกี่วัน ให้เราเลือกตั้งค่าได้ตามความสะดวกได้เลย ส่วนหมายเลข 2 จะเป็นการลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ในแฟ้ม Downloads ออกไป ซึ่งถ้าเราไม่ได้เก็บไฟล์เอาไว้ใน Downloads เป็นที่หลักอยู่แล้ว ก็สามารถเปิดให้ลบไฟล์ได้เช่นกัน

แถบ OneDrive ระบบจะย้ายไฟล์ที่เราไม่ได้ใช้เลยขึ้นไป OneDrive Cloud แล้วลบที่อยู่ในเครื่องออกไปเมื่อครบวันที่กำหนด ซึ่งส่วนนี้สามารถเลือกเปิดได้ตามความสะดวกของแต่ละคน

6. ลบ Temporary file ในเว็บบราวเซอร์ทิ้ง

เว็บบราวเซอร์เองก็เป็นอีกโปรแกรมหลัก ๆ ที่สร้าง Temporary file ทิ้งไว้ในเครื่องมากไม่แพ้โปรแกรมอื่น ๆ แต่ข้อดีคือแต่ละบราวเซอร์ก็มีฟังก์ชั่นสั่งลบไฟล์ขยะที่สร้างขึ้นมาทิ้งไปได้เช่นกัน ซึ่งเปิดมาลบทิ้งได้ไม่ยากและทำไม่กี่ขั้นตอนก็เสร็จแล้ว โดยมีวิธีการทำตามดังนี้

GOOGLE CHROME

ตั้งค่า Chrome ให้เร็ว

สำหรับวิธีการลบไฟล์ขยะของ Google Chrome ให้ทำตามข้อที่ 3 ในบทความ “7 ขั้นตอน ตั้งค่า Chrome ให้เร็วทันใจด้วยตัวเองฉบับปี 2021” ได้เลย

MOZILLA FIREFOX

ขั้นตอนของ Mozilla Firefox ให้เรากดตรงคำสั่งเมนูตรงมุมบนขวามือแล้วกดตัวเลือก Options เพื่อเข้าส่วนของการตั้งค่าของตัวบราวเซอร์แล้วพิมพ์คำว่า Clear ลงไปในช่องค้นหา บราวเซอร์จะขึ้นหัวข้อ “Cookies and Site Data” ขึ้นมา ให้คลิกคำว่า “Clear Data…” ตรงมุมขวามือเพื่อลบไฟล์ขยะทิ้งไป

MICROSOFT EDGE

ขั้นตอนของ Microsoft Edge จะคล้ายกับ Firefox คือเปิดเมนูขึ้นมาแล้วกดที่ตัวเลือก Settings เพื่อเข้าส่วนตั้งค่าโปรแกรม จากนั้นในช่องค้นหาให้พิมพ์คำว่า cache แล้ว Edge จะให้เราเลือกเปิดได้ว่าจะให้บราวเซอร์ลบไฟล์ขยะอันไหนทิ้งบ้าง ให้เราสไลด์เปิดฟังก์ชั่นส่วนที่เราต้องการได้เลย

7. ลบไดรเวอร์ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้แล้วทิ้งไป

device manager uninstall

สุดท้ายไดรเวอร์สำหรับฮาร์ดแวร์ที่ไม่ได้ใช้แล้วปล่อยทิ้งไว้ก็กินพื้นที่ของเครื่องเหมือนกัน โดยวิธีการลบไฟล์ขยะใน Windows ส่วนนี้จำเป็นต้องสังเกตเพิ่มเติมเล็กน้อย คือตัวไดรเวอร์ที่เราไม่ได้ใช้ และมักเป็นอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ เช่น iPhone, iPod หรือสมาร์ทโฟนที่เราขายทิ้งไปแล้วนั่นเอง

วิธีการคือกดปุ่ม Windows พิมพ์คำว่า Device Manager ลงไปก่อนกด Enter จะขึ้นเป็นหน้าต่างแบบในภาพด้านบน ให้เราค่อย ๆ ไล่ดูทีละรายการว่ามีไดรเวอร์ไหนที่กลายเป็นสีเทาแบบในภาพตัวอย่างบ้าง ซึ่งถ้ามีก็สามารถคลิกขวาแล้วกด Uninstall device ทิ้งไปได้เลย

ใจความสำคัญของการลบไฟล์ขยะใน Windows 10 คือ เราต้องหมั่นเข้ามาไล่เช็คว่ามีโปรแกรมไหนลบไปแล้วยังไม่ได้เก็บงานในไดรฟ์ C:\ หรือใช้บราวเซอร์นานเกินไปแล้วคิดว่าควรล้างไฟล์ขยะทิ้งบ้าง ฯลฯ รวมถึงการตั้งค่าให้ตัวระบบ Windows คอยดูและเคลียร์ไฟล์เหล่านั้นด้วยตัวเองเช่นกัน ก็จะทำให้พีซีของเราไม่มีไฟล์ขยะทิ้งค้างเอาไว้และไม่ต้องเสียเวลาล้างเครื่องติดตั้ง Windows ใหม่ให้เสียเวลาด้วย

 notebookspec.com


ที่มาครูสมชายคัดมาจาก : {getButton} $text={อ้างอิงที่มา} $icon={link} $color={red}

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า